มาสุราษฏร์ที่เดียว….เหมือนได้เที่ยวทั่วไทย

วันนี้ได้มีโอกาสมาเที่ยวจังหวัดสุราษฏร์ธานีอีกครั้ง  หลายคนชอบเรียกจังหวัดนี้สั้นๆว่า สุราษฏร์” ซึ่งในปี ๒๕๕๓ จังหวัดสุราษฏร์ธานีมีอายุครบ ๙๕ ปี จึงถือว่าเป็นจังหวัดที่เก่าแก่และมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานไม่น้อยเลยทีเดียว โดยชื่อจังหวัดนั้นได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) แปลว่า เมืองแห่งคนดี  มีคำขวัญประจำจังหวัดว่า “เมืองร้อยเกาะ เงาะอร่อย หอยใหญ่ ไข่แดง แหล่งธรรมมะ” จังหวัดสุราษฏร์ธานีถือว่าเป็นจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวสวยงามมากมาย ทั้งทะเล น้ำตก ภูเขาและผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ รวมทั้งวัฒนธรรมที่หลากหลายทั้งไทยพุทธและมุสลิม จนได้รับสมญานามว่า “สวรรค์กลางอ่าวไทย” 

ดังนั้นเมื่อถามว่า พูดถึงจังหวัดสุราษฏร์ธานีจะคิดถึงอะไร หลายคนคงตอบว่า นึกถึงทะเลสวยๆ อย่างเกาะสมุย เกาะเต่า เกาะนางยวน  หรือไม่ก็นึกถึงของกินขึ้นชื่ออย่างไข่เค็มไชยา หอยนางรม เงาะโรงเรียน หรือไม่ก็อาจจะนึกถึงศิลปวัฒนธรรมของคนใต้ อย่างหนังใหญ่ หนังตะลุง หรือโบราณสถานคู่บ้านคู่เมืองอย่าง พระบรมธาตไชยา แต่การมาเที่ยวสุราษฏร์ธานีในครั้งนี้ให้ความรู้สึกที่แปลกกว่าทุกครั้ง และอาจทำให้เผลอตอบในสิ่งที่หลายคนนึกไม่ถึง  เช่น ไปสุราษฏร์แล้วนึกถึงแคปหมูน้ำพริกหนุ่ม  นึกถึงการแสดงโปงลาง นึกถึงการแสดงโขน หรือหุ่นละครเล็ก โจ-หลุยส์ เป็นต้น  

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

สิ่งที่ทำให้คำตอบผิดแปลกไปกว่าทุกที ก็เพราะได้มีโอกาสมาเดินเล่นในงานเที่ยวไทย ๕ ภาค @ สุราษฏร์ธานี ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท.จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๓-๕ กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งงานนี้ ททท. บอกว่า “เป็นการยกเมืองไทยทั้ง 76 จังหวัดไปไว้ที่สุราษฏร์”  เพราะภายในงานจะได้พบกับการแสดงวิถีชีวิต ศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี อาหารพื้นบ้านประจำถิ่น สินค้าหัตถกรรม แหล่งท่องเที่ยว ตลอดจนสินค้าทางการท่องเที่ยวที่หลากหลายจากทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย เรียกว่ามีครบทุกจังหวัดทุกภูมิภาคทั่วไทย ทั้งภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก รวมไปถึงภาคใต้ ดังนั้นจึงไม่แปลกถ้าจะเผลอตอบว่า มาสุราษฏร์แล้วนึกถึงแคปหมูน้ำพริกหนุ่ม อาหารขึ้นชื่อของเมืองเหนือ เพราะการมาเที่ยวจังหวัดสุราษฏร์ธานีเพียงจังหวัดเดียวในครั้งนี้ ให้ความรู้สึกเสมือนหนึ่งได้เที่ยวทั่วไทยเลยทีเดียว เรียกว่าคุ้มค่ากับการเดินทางมากๆ  หรือแม้ว่าจะเป็นคนสุราษฏร์หรือคนในจังหวัดใกล้เคียง ถ้าได้มาเที่ยวงานนี้ ก็เรียกว่า คุ้มสุดคุ้ม เพราะนอกจากจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและธุรกิจท่องเที่ยวของจังหวัดตัวเองแล้ว ยังได้เรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมของภูมิภาคอื่นๆ อีกด้วย

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

เทศกาลเที่ยวไทย ๕ ภาค” คือแคมเปญกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ ที่จัดขึ้นต่อจากโครงการ “กอดเมืองไทยให้หายเหนื่อย” มีเป้าหมายหลักคือ การชวนคนไทยเที่ยวเมืองไทย และเป็นการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมของแต่ละภูมิภาคทั่วไทยให้เกิดการรับรู้อย่างกว้างขวาง โดยนำศิลปวัฒนธรรมของคนเหนือไปเผยแพร่ให้คนอีสานหรือคนใต้ได้รู้ เอาอาหารอร่อยของคนใต้ไปให้คนภาคกลางได้ชิม เป็นต้น ซึ่ง ททท. พยายามสร้างเอกลักษณ์ทางการท่องเที่ยวที่ชัดเจนให้แต่ละภูมิภาค  โดยภาคเหนือนั้นต้องการให้เป็นแหล่ง“วัฒนธรรมล้ำค่า งามผืนป่าธรรมชาติ”, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คือ “แหล่งเรียนรู้อู่อารยะธรรม” ภาคกลาง คือ“เที่ยวหลากหลายสไตล์ภาคกลาง”, ภาคตะวันออก คือ “สีสันตะวันออก” และภาคใต้ คือ“ป่าสวย ทะเลใส หลากหลายวัฒนธรรม”   

ซึ่งในปีนี้จัดขึ้นทั้งหมดใน ๓ ภูมิภาค ๓ จังหวัด แต่ละจังหวัดจัดกันแบบ ๓ วัน ๓ คืนเลยทีเดียว เริ่มที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือกับงานเที่ยวไทย ๕ ภาค @ อุดรธานี  เมื่อวันที่ ๒๗-๒๙ สิงหาคม หลังจากนั้นลงใต้ไปต่อกันที่  เที่ยวไทย ๕ ภาค @ สุราษฏร์ธานี เมื่อวันที่  ๓-๕ กันยายน และที่กำลังจะมีขึ้นเร็วๆนี้ก็คือ เที่ยวไทย ๕ ภาค @ สุพรรณบุรี  ในวันที่ ๒๔-๒๖ กันยายนนี้  งานนี้เรียกว่า ททท. ชวนเที่ยวกันแบบไม่ต้องห่วงเงินในกระเป๋า เที่ยวแล้วเที่ยวอีกได้ เที่ยวให้หายเหนื่อยหายเบื่อกันไปเลย  เพราะแพ็คเกจทัวร์ สินค้า OTOP ของกินของใช้ที่มาออกร้านในงานดังกล่าวล้วนแต่ราคาพิเศษเพื่อคนไทยจริง  ๆ 

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

เที่ยวไทย ๕ ภาค @ สุราษฏร์ธานีนั้น จัดกันตั้งแต่เวลาเวลาสิบโมงเช้า งานเลิกสี่ทุ่ม ดังนั้นมีเวลาเที่ยวตั้งสิบสองชั่วโมง แถมยังจัดแบบสามวันสามคืนกับการแสดงที่ไม่ซ้ำกันเลย  เช่น การแสดงทิฟฟานี่โชว์จากเมืองพัทยา, ฟังกลอนสดๆ จากหมอลำกลอนอัจฉริยะ เฉลิมพล มาลาคำ หรือใครที่ไม่เคยชมนาฏยศาลาหุ่นละครเล็ก (โจ-หลุยส์)  และไม่รู้จะไปดูที่ไหน เพราะหุ่นละครเล็ก โจ-หลุยส์ เพิ่งปิดฉากการแสดงที่สวนลุมไปได้ไม่นานและโรงละครแห่งใหม่ก็ยังไม่เรียบร้อย ขอบอกว่ามาเที่ยวสุราษฏร์ครั้งนี้ได้ดูด้วย  แถมยังตื่นตาตื่นใจไปกับการแสดงดนตรีโปงลางและการปะทะฝีมือระหว่าง อาจารย์สมบัติ สิมหล้า หมอแคนตาบอดที่มีฝีมือระดับโลก กับปรมาจารย์ทางด้านขลุ่ย อ.ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี งานนี้แคนกับขลุ่ยดวลกันมันส์หยด  การแสดงของภาคใต้ก็มีมาโชว์เช่นกัน ใครพลาดบอกได้คำเดียวว่าน่าเสียดาย เพราะการแสดงหนังใหญ่วัดขนอนนั้น ถือเป็นคณะสุดท้ายและคณะเดียวที่ยังคงอยู่ในประเทศไทย ดังนั้นจึงหาชมได้ยากมาก แล้วก็ยังมีการแสดงตลกและดนตรีอีกมากมาย…ฟรีตลอดงาน

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

หลังจากชมการแสดงต่างๆ ที่เป็นอาหารตากันจนอิ่มเอมแล้ว ก็ไปอิ่มท้องกันต่อกับอาหารดังเมนูเด็ดทุกภูมิภาคทั่วไทย ทั้งอาหารเหนืออร่อยๆ อาหารอีสานรสแซ่บ  อาหารใต้รสชาติเข้มข้น แล้วก็ยังได้เลือกชื้อสินค้า OTOP ขึ้นชื่อจากจังหวัดต่างๆ  หรือใครที่ยังเที่ยวไม่ทั่วไทย  ในปีนี้ยังอยากเที่ยวอีก ก็มีที่พักและแหล่งท่องเที่ยวราคาพิเศษจากทุกที่ทั่วไทยมาจำหน่ายกันด้วย  ไฮไลท์ของงานอีกอย่างหนึ่งที่จะไม่พูดถึงคงไม่ได้ นั่นก็คือการได้ชม “ผ้าพระบฏ” เก่าแก่หายาก ความยาวกว่า 30 เมตร รวมทั้งยังได้ชมการสาธิตการเขียนผ้าพระบฏ และร่วมฟื้นฟูประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ ด้วยการเป็นส่วนหนึ่งในการเขียนภาพ ผ้าพระบฎ อันเลืองชื่อ  ซึ่งถือเป็นความประทับใจอย่างมาก เพราะคงหาโอกาสแบบนี้ไม่ได้ง่ายๆ 

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

ผ้าพระบฏนั้น เป็นผ้าซึ่งเขียนเรื่องราวพุทธประวัติ เกิดจากศรัทธาจากพุทธคติในการทูนผ้าผืนยาวที่แสดงเรื่องราวพุทธประวัติและพุทธชาดก ขึ้นไปห่มองค์พระบรมธาตุเจดีย์ในวันสำคัญทางศาสนา แต่ปัจจุบันการทำผ้าพระบฏ เป็นเรื่องยากและมีต้นทุนสูง จึงเปลี่ยนมาใช้เป็นผ้าขาว ผ้าเหลือง ผ้าแดงธรรมดา ซึ่งแต่ละคนจะตระเตรียมผ้าขนาดความยาวตามความศรัทธาของตนเอง เมื่อไปถึงวัดก็จะนำผ้ามาผูกต่อกันเป็นขนาดยาวที่จะสามารถห่มพระธาตุรอบองค์ได้  เป็นประเพณีของภาคใต้  โดยการนำผ้าพระบฏขึ้นห่มโอบล้อมรอบองค์พระบรมธาตุเจดีย์ ขบวนแห่ผ้าขึ้นธาตุจะเดินเป็นแถวเรียงเป็นริ้วยาวไปตามความยาวของผืนผ้า ทุกคนชูหรือว่าเทินผ้าพระบฏไว้เหนือศีรษะ ทั้งนี้เพราะเชื่อกันว่าพระบฏเป็นเครื่องสักการะพระพุทธเจ้า จึงควรถือไว้ในระดับสูงกว่าศีรษะ  โดยการแห่ผ้าขึ้นธาตุนิยมจัดปีละสองครั้ง ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสาม หรือในวันมาฆบูชา และวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ หรือวันวิสาขบูชา

หากใครพลาดเทศกาลเที่ยวไทย ๕ ภาค @ สุราษฏร์ธานี เมื่อวันที่ ๓-๕ กันยายนที่ผ่านมา ถือว่าน่าเสียดายมากเพราะเป็นงานที่มีอรรถรสแห่งความสุขครบทุกด้าน  ทั้งได้อิ่มตากับนิทรรศการที่น่าสนใจ  ได้อิ่มเอมใจกับการชมการแสดงศิลปวัฒนธรรมที่หลากหลายและที่สำคัญแต่ละอย่างหาชมได้ยากยิ่ง   ได้อิ่มอร่อยกับเมนูเด็ด  อาหารขึ้นชื่อของทุกภูมิภาคทั่วไทย ทั้งอาหารคาวและอาหารหวาน รวมไปถึงผลไม้ประจำถิ่น  และยังได้อิ่มอกอิ่มใจกับการเป็นส่วนหนึ่งของการร่วมฟื้นฟู “ผ้าพระบฏ” ผ้าที่เกิดจากศรัทธาของชาวพุทธ  แต่อย่างไรก็ตาม โอกาสสุดท้ายยังพอมี  เพราะงานเทศกาลเที่ยวไทย ๕ ภาค ในปีนี้จะจัดครั้งสุดท้ายที่จังหวัดสุพรรณบุรี  ในวันที่ ๒๔-๒๖ กันยายนที่จะถึงนี้  ใครพลาดจากสุราษฏร์ธานี ต้องไปแก้ตัวด่วนที่สุพรรณบุรี  เพราะงานนี้รับรองว่าสนุกและตื่นตาตื่นใจไม่แพ้ที่สุราษฏร์ธานีแน่นอน  

Message us