ตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาเกิดกระแสวิพากวิจารณ์ เป็นประเด็นใหญ่ในสังคมเรื่องการแบน 3 สารเคมีเกษตร โดยฝ่ายที่เห็นควรแบน ให้เหตุว่าตัวสารและการใช้มีผลต่อคนทั้งผู้ใช้และไม่ใช้สาร ส่วนฝ่ายที่เห็นว่าไม่สมควรแบน ระบุว่าเป็นสารจำเป็นต่อปัจจัยการผลิตพืชเศรษฐกิจสำคัญหลายชนิด ยังไม่มีสิ่งทดแทนที่มีประสิทธิภาพเท่าเทียมกัน และไม่เชื่อถือข้อมูลอีกฝ่ายที่นำเสนอเหตุผลแบน
ดร. อดิศักดิ์ ศรีสรรพกิจ อดีตอธิบดีกรมวิชาการเกษตร ได้ประมวลประเด็นปัญหาและการดำเนินการที่ผ่านมา โดยอธิบายเป็น 7 ข้อคิดสำคัญได้ว่า ความขัดแย้งรุนแรงที่เกิดขึ้น แทนที่จะใช้วาทะกรรม การสร้างกระแสปั่นสังคม ควรหันหน้ามาเจรจากัน โดยตั้งอยู่บนผลประโยชน์โดยรวมของชาติ เกษตรกรผู้ผลิตอยู่ได้ ประชาชนปลอดภัย สิ่งแวดล้อมถูกกระทบน้อย แต่ถ้ามีเจตนาอื่นแอบแฝง การเจรจาก็เกิดขึ้นได้ยาก
ข้อคิดที่ 1 การเฝ้าระวังและการตรวจสอบผลตกค้างของสารทั้งสามชนิดในผลิตผลทางการเกษตร โดย ไทยแพน (เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช) นำเสนอผลสุ่มตรวจสารพิษตกค้างครั้งที่ 2 เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2559 แจ้งว่าพบสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐานในผักผลไม้ที่เป็นที่นิยมของผู้บริโภค 16 ชนิดแต่ไม่มีสารตกค้างพาราควอตและไกลโฟเซต จากนั้น ปี 2560 ไทยแพนแจ้งว่า กว่าครึ่งผักและผลไม้ยอดนิยม 16 ชนิด มีสารปนเปื้อนเกินมาตรฐาน 46% เอกสารไม่ระบุว่าเป็นสารใด แต่ไทยแพน แถลงข่าว พบพาราควอตตกค้างเกินมาตรฐานสูง 50% รองลงมาไกลโฟเซต 8% และชูยาฆ่าหญ้าเป็นปัญหาระดับชาติ ขอให้แบนสารดังกล่าว ข้อสังเกต สารที่ตกค้างในรายงานปี 2559 ไม่พบสารพาราควอตและไกลโฟเซต และปี 2560 การตกค้างสารทั้งสองในผักและผลไม้ 55% ไม่น่าเป็นไปได้ หากผักถูกสารพาราควอตจะไหม้และตายไป ที่เอาออกมาขายได้ต้องไม่ถูกสารพาราควอต ไทยแพนควรเปิดเผยผลตรวจสอบดังกล่าว
ข้อคิดที่ 2 กระทรวงสาธารณสุขตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนปัญหาการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง ในเดือนธันวาคม 2559 มีกรรมการ 21 ท่าน และได้ประชุมทั้งสิ้น 4 ครั้ง แต่มีข้อสังเกตไม่สามารถหารายงานการประชุมใน 3 ครั้งแรกได้ เนื่องจากผลการตรวจสอบสารตกค้างมีเพียง คลอร์ไพรีฟอส ไม่พบพาราควอตและไกลโฟเซต แล้วทำไมจึงมีชื่อปรากฏมาในภายหลังได้ในการประชุมครั้งสุดท้าย รวมทั้ง กระทรวงสาธารณสุขได้แต่งตั้งไทยแพนให้เป็นกรรมการและเลขานุการร่วมด้วย ที่สำคัญมติของคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ไม่อาจบังคับให้แบนสารดังกล่าวได้ เพราะอยู่นอกเหนืออำนาจหน้าที่ แต่กลับมีมติและบังคับให้กรมวิชาการเกษตรทำตาม
ข้อคิดที่ 3 กรมวิชาการเกษตรนำมติของคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ เสนอให้คณะกรรมการวัตถุอันตรายพิจารณา โดยกรมวิชาการเกษตรได้จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นของการใช้สาร ไกลโฟเซต ตามข้อเสนอคณะกรรมขับเคลื่อนฯ ส่วนการยกเลิกพาราควอตและคลอร์ไพรีฟอส ได้นำเสนอให้คณะกรรมการวัตถุอันตรายพิจารณา ข้อสังเกต กรมวิชาการเกษตรทราบถึงกระบวนการเป็นอย่างดีจึงได้ยื่นเรื่องให้คณะกรรมการวัตถุอันตรายเป็นผู้พิจารณา ไม่ได้หลีกเลี่ยงความรับผิดชอบหรือถ่วงเวลาแต่ประการใด
ข้อคิดที่ 4 การพิจารณาคณะกรรมการวัตถุอันตราย ตามกระบวนการยกเลิกใช้สารใด ๆ ก็ตาม อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยต้องผ่านการพิจารณาเห็นชอบของคณะกรรมการวัตถุอันตรายก่อน ให้เกิดความรอบคอบ ยึดหลักเหตุผล และข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เป็นสำคัญ ทั้งนี้ คณะกรรมการวัตถุอันตราย ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาเรื่องการยกเลิกสารดังกล่าว จนเกิดการประชุมรวมถึง 13 ครั้ง มีผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องทางวิชาการ วิจัย และอื่น ๆ ได้ข้อสรุปวันที่ 23 พฤษภาคม 2561 ให้ใช้แนวทางจำกัดการใช้ทั้งสามแทนการยกเลิกใช้สารดังกล่าว รวมทั้งคณะกรรมการมีมติมอบให้กรมวิชาการเกษตรจัดทำแผนดำเนินการต่อไป ข้อสังเกต กระบวนพิจารณาเป็นไปตามขั้นตอน รอบคอบมีการตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อศึกษาข้อเท็จจริง โดยประธานคณะอนุกรรมการฯ ครั้งนั้นคือ ดร.ภักดี โพธิศิริ อดีตเลขาธิการ อ.ย. และอดีตกรรมการ ปปช. ที่สำคัญมีการอภิปรายและเปิดเผยบันทึกเหตุและผลอย่างเปิดเผย ทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยรวม 22 หน้า
ข้อคิดที่ 5 การพิจารณาข้อเสนอผู้ตรวจการแผ่นดิน วันที่ 14 ธันวาคม 2561 ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินได้ทำหนังสือถือคณะกรรมการวัตถุอันตรายดำเนินการยกเลิกใช้สารดังกล่าว แต่คณะกรรมการวัตถุอันตรายได้ขอข้อมูลจากผู้ตรวจการแผ่นดินเพิ่มเติม และประชุมวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2562 เพื่อทบทวนการตัดสินและได้ข้อสรุปยืนยัน มติเดิมไม่มีการยกเลิกใช้สาร แต่ให้เป็นมาตรการจำกัดการใช้ และรายงานไปยังผู้ตรวจการแผ่นดิน ข้อสังเกต ผู้ตรวจการแผ่นดินมีอำนาจหน้าที่ในการเสนอแนะ แต่กลับพบว่าที่มาที่ไปของการวินิจฉัยมีเป้าหมายอยู่ในใจก่อนแล้ว จึงเกิดคำถามว่า ทำไมไม่แสวงหาข้อเท็จจริงรอบด้านทั้งผู้ได้รับผลกระทบจากการยกเลิกสารดังกล่าว
ข้อคิดที่ 6 การดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเฉพาะการดำเนินงานของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ หลังจากคณะรัฐมนตรีเข้าเฝ้าถวายสัตย์ กรกฎาคม 2562 ได้ประกาศชัดเจนว่าจะแบนสารทั้งสามชนิด พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพรีฟอส ภายในปี 2562 ขณะเดียวกัน คณะกรรมการวัตถุอันตรายได้ดำเนินการตามบัญชาของนายกรัฐมนตรีในวันที่ 18 กันยายน ให้มีการศึกษาถึงปัญหา วิธีการและผลกระทบ บริหารจัดการสารจากผู้เกี่ยวข้อง 4 ภาคส่วนได้แก่ ภาครัฐ ผู้นำเข้า เกษตรกร และผู้บริโภค แต่ รมช. มนัญญา ได้ลงนามคำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตั้งตนเองเป็นประธานและประชุมคณะทำงานในวันที่ 7 ตุลาคม โดยมีมติเอกฉันท์ตามข่าวในสื่อมวลชนให้ยกเลิก 3 สาร โดยมิได้เสนอวิธีการแก้ปัญหาและผลกระทบในการบริหารจัดการสารแต่ประการใด ข้อสังเกต เหตุใด รมช. มนัญญา จึงให้ความสนใจเฉพาะปัญหาและผลกระทบ แต่ไม่ให้ความสำคัญผลกระทบด้านอื่น และใช้เวลาในการประชุมรวบรัดไม่ถึง 3 ชั่วโมงตัดสิน โดยไม่มีข้อมูลทางวิชาการใหม่ไปหักล้างข้อมูลเดิมที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายใช้ตัดสินไม่ยกเลิกสารทั้งสาม
ข้อคิดที่ 7 การตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญของสภาผู้แทนราษฎร จากกระแสขัดแย้งที่เกิดขึ้น ได้ตั้งคณะกรรมาธิการฯ ชุดนี้ขึ้น และได้ฟังการแถลงข่าวสรุปความได้ว่า สารทั้งสามนี้เป็นอันตรายน่าจะต้องยกเลิกการใช้ ข้อสังเกต รายชื่อผู้ที่ได้รับเสนอชื่อเป็นกรรมาธิการจากพรรคต่าง ๆ เป็นกลุ่มบุคคลที่เห็นว่าสมควรยกเลิกอยู่แล้วและเป็นแกนนำเคลื่อนไหวในการยกเลิกด้วย จึงพอคาดเดาได้ว่ามติจะออกมาในรูปแบบใด
“ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงหนึ่งความคิดเห็นเพื่อให้สังคมได้รับทราบข้อเท็จจริง และหวังว่าสังคมไทยจะตัดสินเรื่องต่าง ๆ ด้วยเหตุและผล คำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสำคัญ” นายอดิศักดิ์ ศรีสรรพกิจ กล่าวสรุป